วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

เพิ่มเติม



เนื้อเยื่อพืชที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างส่วนต่างๆ ของพืชแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น แบ่งตามความสามารถในการแบ่งเซลล์ หน้าที่ ลักษณะโครงสร้าง หรือตามตำแหน่งที่อยู่  ถ้าจำแนกตามความสามารถในการแบ่งเซล์จะแบ่งเนื้อเยื่อพืชเป็น  2 ประเภท คือ
1. เนื้อเยื่อ เจริญ (Meristem tissue)
2. เนื้อเยื่อถาวร (Permament tissue)
เนื้อเยื่อเจริญ (Meristem tissue)
เนื้อเยื่อเจริญเป็นเนื้อเยื่อที่สามารถแบ่งตัวได้ มักมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ผนังเซลล์บาง นิวเคลียสใหญ่ เด่นชัด แวคิวโอลขนาดเล็ก เซลล์อยู่ชิดกัน
ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของเนื้อเยื่อเจริญอกเป็น 3 ประเภท ตามตำแหน่ง
1.เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (Apical meristem) : เนื้อเยื่อประเภทนี้พบอยู่บริเวณปลายยอด ปลายราก และตา

เนื้อเยื่อปลายยอด



เนื้อเยื่อปลายราก
               ที่มารูปภาพ : www.nana-bio.com/e-learning/Meristem.htm
2.เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (Laterral meristem) : จะพบหลังจากมีการเจริญขั้นที่สอง เป็นเซลล์รูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังเซลล์บาง เรียงตัวเป็นระเบียบ แบ่งเป็น 2 ชนิด

1) วาสคิวลาร์ แคมเบียม : แทรกอยู่ระหว่าง ไซเลม และโฟลเอ็ม มีหน้าที่ สร้าง secondary xylem และ secondary pholem พบในพืชใบเลี้ยงคู่ทุกชนิด และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด

2) คอร์ก แคมเบียม  : ทำหน้าที่สร้างคอร์ก เพื่อทำหน้าที่แทนเซลล์เอพิเดมิส



วาสคิวลาร์แคมเบียม  






คอร์ก แคมเบียม

ที่มารูปภาพ:www.nsci.plu.edu/…/b359web/pages/meristem.htm         ที่มารูปภาพ:kruwasana.info/M_tissue.html
3.เนื้อเยื่อเจริญ เหนือข้อ(Intercalary meristem) : เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้จะอยู่บริเวณเหนือข้อของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ทำให้ปล้องยืดยาวขึ้น ซึ่งมีฮอร์โมนจิบเบอเรลลินเข้ามาเกี่ยวข้อง


เนื้อเยื่อเจริญเหนือ ข้อ

ข้อมูลจาก http://www.thaigoodview.com/node/49583
เนื้อเยื่อถาวร
เนื้อเยื่อถาวร คือ เนื้อเยื่อพืชซึ่งประกอบด้วยเซลล์ที่แบ่งตัวไม่ได้ และมีรูปร่างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ จะคงรูปร่างลักษณะเดิมไว้ตลอดชีวิตของส่วนนั้น ๆ ของพืชเนื้อเยื่อชนิดนี้เจริญเติบโต และเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ กันจนเซลล์นี้รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มี Vacuole และ cell wall ก็เปลี่ยนแปลงไปสุดแท้แต่ว่า จะกลายไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดไหน ซึ่งโดยมากมักมีสารประกอบต่าง ๆ ไปสะสมบน cell wall ให้หนาขึ้นเพื่อให้เกิดความแข็งแรง
ชนิดของเนื้อเยื่อถาวร เมื่อจำแนกตามลักษณะของเซลล์ที่มาประกอบกันจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่ประกอบด้วย เซลล์ชนิดเดียวกันล้วน ๆ จำแนกออกเป็นหลายชนิด คือ Epidermis Parenchyma Collenchyma Sclerenchyma Coke Secretory tissue
2. เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่ประกอบขึ้นด้วย เซลล์หลายชนิดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน เพื่อทำงานร่วมกัน ประกอบขึ้นด้วย 2 กลุ่มด้วยกันคือ Xylem และ Phloem ซึ่งจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Vascular bundle หรือ Vascular tissue นั่นเอง
เนื้อเยื่อถาวร เชิงเดี่ยว
Epidermis เป็น simple tissue ที่อยู่ผิวนอกสุดของส่วนต่าง ๆ ของพืช (ถ้าเปรียบกับตัวเรา ก็คือ หนังกำพร้านั่นเอง) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต เมื่อโตเต็มที่แล้ว จะมี Vacuole ขนาดใหญ่ จนดัน protoplasm ส่วนอื่น ๆ ให้ร่นไปอยู่ที่ขอบเซลล์หมด

หน้าที่ของ epidermis
- ช่วยป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อที่อยู่ข้างใน และช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงด้วย
ช่วยป้องกันการระเหย (คาย) น้ำ (เพราะถ้าพืชเสียน้ำไปมากจะเหี่ยว) และช่วยป้องกันน้ำไม่ ให้ซึมเข้าไปข้างในด้วย (เพราะถ้าได้รับน้ำมากเกินไป จะเน่าได้ )
ช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊สทั้งไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจน โดยทางปากใบ
ช่วยดูดน้ำและเกลือแร่
epidermis คือบริเวณกลมๆใสๆด้านบน

                                                                                     epidermis

ที่มารูปภาพ:http://www.se-society.com/forum/viewtopic.php?p=121315& amp;sid=a3522cf5f701f279af668fb84e600eba
Parenchyma เป็น Simple tissue ที่ประกอบด้วย Parenchyma Cell ซึ่งเป็นเซลล์พื้นทั่ว ๆ ไป และพบมากที่สุดในพืชโดยเฉพาะส่วนที่อ่อนนุ่มและอมน้ำได้มาก เช่น ในชั้น Cortex และ Pith ของรากและลำต้น
Parenchyma cell เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีรูปร่างหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ทรงกระบอกกลม หรือทรงกระบอกเหลี่ยมด้านเท่า อาจกลมรี มี cell wall บาง ๆ
หน้าที่ Parenchyma
ช่วยสังเคราะห์แสง
- สะสมอาหาร (พวกแป้ง โปรตีน และไขมัน ) น้ำ
สร้างน้ำมันที่มีกลิ่นหอมหรืออื่น ๆ ตามแต่ชนิดของพืชนั้น ๆ
บางส่วนช่วยทำหน้าที่หายใจ

เนื้อเยื่อพาเรงคิมา

ที่มารูปภาพ:http://www.psuwit.psu.ac.th/e-learning/data/cai/biology/Chapter5/Picture_Chapter5/5.7.jpg
Collenchyma เป็น Simple tissue ที่ประกอบด้วย Collenchyma cell พบมากในบริเวณ Cortex ใต้ epidermis ลงมา ในก้านใบ เส้นกลางใบ เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เซลล์อัดแน่น ขนาดของเซลล์ส่วนมากเล็ก หน้าตัดมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมแต่ยาวมาตาม ความยาวของต้น และปลายทั้งสองเสี้ยมหรือตัดตรง
หน้าที่ของ Collenchyma
ช่วยทำให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชเหนียวและแข็งแรงทรงตัวอยู่ได้
- ช่วยป้องกันแรงเสียดทานด้วย
Sclerenchyma เป็น Simple tissue ที่ประกอบขึ้นด้วยเซลล์ซึ่งมีลักษณะทั่วๆ คือ เป็นเซลล์ที่ตายแล้ว (ตอนเกิดใหม่ ๆ ยังมีชีวิตอยู่แต่พอโตขึ้น Protoplasm ก็ตายไป ) เซลล์วอลหนามากประกอบขึ้นด้วยเซลล์ลูโลสและลิกนิก เนื้อเยื่อชนิดนี้แข็งแรงมากจัดเป็นโครงกระดูกของพืช
Sclerenchyma จำแนกออกได้เป็น 2 ชนิดตามรูปร่างของเซลล์ คือ
1. Fiber เรามักเรียกว่าเส้นใย ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว มีลักษณะเรียวและยาวมากปลายทั้งสองเสี้ยม หรือค่อนข้างแหลม มีความเหนียวและยึดหยุ่นได้มากจะเห็นได้จากเชือกที่ทำจากลำต้นหรือใบของพืช ต่าง ๆ
หน้าที่ของ Fiber
- ช่วยให้ความแข็งแรงแก่พืช
- ช่วยพยุงลำต้นให้ตั้งตรงและแข็งแรง และให้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของ คนมาก เช่น พวกเชือก เสื้อผ้า ฯลฯ ก็ได้มาจากไฟเบอร์ ของพืชเป็นส่วนใหญ่
2. Stone cell ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว มีลักษณะคล้ายกับไฟเบอร์ แต่เซลล์ไม่ยาวเหมือนไฟเบอร์ เซลล์อาจจะสั้นกว่าและป้อม ๆ อาจกลมหรือเหลี่ยมหรือเป็นท่อนสั้น ๆ รูปร่างไม่แน่นอน พบอยู่มากตามส่วนแข็ง ๆ ของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเปลือกของเมล็ดหรือผลไม้ เช่น กะลามะพร้าว เมล็ดพุทรา เมล็ดแตงโม หรือ ในเนื้อของผลไม้ที่เนื้อสาก ๆ เช่น เสี้ยนในเนื้อของลูกสาลี่ เนื้อน้อยหน่า ฝรั่ง
หน้าที่ของ Stone cell
- ช่วยให้ความแข็งแรงแก่ส่วนต่าง ๆ ของพืช (เพราะเป็นเซลล์ที่แข็งมาก)Cork เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด ของลำต้นและรากใหญ่ ๆ ที่แก่แล้ว ของไม้ยืนต้น
เซลล์ของคอร์ก มีลักษณะคล้ายพาเรนไคมาเซลล์ แต่ผนังหนากว่ามีทั้ง ไพมารีและเซคันดารี วอลล์ และตามปกติจะไม่มีพิตเลย เนื้อเยื่อคอร์ก มีแต่เซลล์ที่ตายแล้ว
ต้นไม้บางชนิดมีคอร์ก หุ้มหนามาก จนบางทีเราลอกเอามาทำจุกขวดหรือแผ่นไม้คอร์กนั่นเอง คอร์กยังพบที่โคนก้านใบขณะที่ใบกำลังจะร่วง และแผลเป็นตามลำต้น
หน้าที่ของคอร์ก
- ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำ ป้องกันความร้อน ความเย็น และอันตรายต่าง ๆ จากภายนอก
เนื้อ เยื่อถาวรเชิงซ้อน
Xylem
Xylem เป็น complex tissue ซึ่งทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำอนินทรีย สารและวัตถุดิบเป็นสารละลาย รวมทั้งแร่ธาตุ ๆ จากรากขึ้นข้างบนไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช การลำเลียงแบบนี้เรียกว่า Coonduction
นอกจากนี้แล้ว ไซเลม ยังมีหน้าที่ช่วยค้ำจุนเสริมความแข็งแรงให้แก่ส่วนต่าง ๆ ของพืชอีกด้วย


Tracheid
Tracheid เป็นเซลล์เดี่ยว ๆ ยาว ๆ ซึ่งเมื่อเจริญเต็มที่แล้วจะตายไป และโพรโทพลาซึมจะสลายไป ทำให้ตรงกลางกลายเป็นช่องลูเมน ( lumen ) ใหญ่ เซลล์มีรูปร่างทรงกระบอกกลมหรือเหลี่ยมปลายทั้งสองค่อนข้างแหลม
เทรคีด พบอยู่มากในพืชพวก เฟิร์น และสนภูเขา
หน้าที่ของเทรคีต ทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและเกลือแร่ ซึ่งจะลำเลียงไปทางข้าง ๆ และจะ ลำเลียงได้ดีเมื่อเซลล์ตายแล้ว นอกจากนี้เทรคีตยังช่วยค้ำจุนส่วนต่าง ๆ ของพืชอีกด้วย เพราะมีผนังที่แข็ง
Vessel member
เวสเซลล์ เมมเมอร์ เป็นเซลล์เดี่ยวๆ ซึ่งเมื่อเจริญเต็มที่แล้วจะตายไปและ โพรโทพลาซึมตรงกลางสลายไปกลายเป็น ช่องลูเมนใหญ่ เวสเซลล์ เมมเมอร์หลายๆ เซลล์เมื่อมาต่อกันเข้าเป็นท่อยาว และมีผนังกันห้องตาม

ขวาง หรือ เอน วอลล์ (end wall) ขาดไป ก็จะกลายเป็นท่อกลางยาว
หน้าที่ของเวสเซลล์ เมมเมอร์ เป็นท่อลำเลียงน้ำ และเกลือแร่เช่นเดียวกับ เทรคีด แต่ส่วนใหญ่ลำเลียงขึ้นไปตรง ๆ ไม่ได้ช่วยทำหน้าที่ในการค้ำจุน
Xylem Parenchyma cell
เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียงตัวกันอยู่ในแนวตั้งตามความยาวของต้นไม้ มีลักษณะและรูปร่างคล้ายกับ พาเรนไคมา 
ทั่ว ๆ ไป
หน้าที่ของ Xylem Parenchyma cell ทำหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้ง น้ำมันอื่น ๆ และยังทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ และเกลือแร่ได้ด้วย
Xylem Fiber
เป็น fiber เปลี่ยนแปลงมาจาก tracheid อีกทีหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนช่วยเหลือ เวสเซลล์ เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างยาว ๆ แต่ยังสั้นกว่าไฟเบอร์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป มีปลายเสี้ยม
Phloem
เป็น คอมเพล็ก ทิชชู ซึ่งทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงอาหาร จำพวกอินทรียสาร ซึ่งพืชปรุงขึ้นหรือสังเคราะห์แสงได้จากใบและส่วนอื่น ๆ ที่มีคลอโรฟิลล์ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช การลำเลียงอาหารที่ปรุงขึ้นเองของโฟลเอ็มนี้เรียกว่า Translocation
Sieve Tube Member
เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีรูปร่างทรงกระบอกยาว ปลายทั้งสองเสี้ยม ประกอบขึ้นด้วยโพรโทพลาสซึม เมื่อเซลล์ได้รับอันตราย โพรโทพลาสซึมทั้งหมด จึงมักหดตัวอยู่ตรง
กลางเซลล์ ซีฟทิว เมมเบอร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ หรือที่ยังอ่อนอยู่จะมีนิวเคลียสอยู่ด้วย แต่พอเจริญเต็มที่แล้ว นิวเคลียสก็สลายไป โดยที่เซลล์ยังมีชีวิตอยู่
หน้าที่ของซีฟทิว เมมเบอร์ เป็นหลอดหรือท่อสำหรับลำเลียงอาหารโดยตรง ดังนั้นจึงนับว่าเป็นเซลล์ที่สำคัญที่สุดของโฟลเอม













 -ลำต้น(STEM)     
ลำต้นคือส่วนของพืชที่เจริญมาจาก epicotyl และ hypocotyl มักเจริญต้านแรงโน้มถ่วง
ของโลก ลำต้นอาจมีการเจริญและเปลี่ยนแปลงรูปร่างต่างๆ แต่ลำต้นมักประกอบด้วยส่วน
ที่สำคัญคือ ตา ข้อ ปล้อง
หน้าที่หลัก
1. ช่วยค้ำจุน (supporting) ส่วนต่างๆ ของพืช เช่นใบ กิ่งให้แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ได้
2. ลำเลียง (transportation) ลำต้นมีเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำและอาหาร เมื่อรากพืชดูดน้ำและ
แร่ธาตุจากนั้นก็จะถูกลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ โดยเฉพาะใบ เพื่อใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง
และลำเลียงอาหารที่ได้จากใบไปยังส่วนอื่นๆ ของต้นพืช
นอกจากหน้าที่หลักดังกล่าวแล้วลำต้นยังมีหน้าที่อื่นๆ ตามลักษณะของลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไป 
ลักษณะของลำต้น ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
1. ข้อ (node) 
เป็นบริเวณที่เกิดของตากิ่ง ตาดอก ตาใบ พืชใบเลี้ยงคู่อาจจะสังเกตไม่ชัดเจน สังเกต
จากมีส่วนของใบหรือดอกติดอยู่ แต่ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะเห็นชัดเจน เช่น ไม้ไฝ่ 
ข้อคือส่วนที่ตัน ไม่กลวง 
2. ปล้อง (internode) 
บริเวณระหว่างข้อ คือส่วนที่เป็นท่อกลวงในไม้ไผ่นั่นเอง สำหรับพืชใบเลี้ยงคู่ปล้องสั้นมาก
และไม่ชัดเจน แต่สามารถสังเกตจากพืชล้มลุกได้ เช่น ลำต้นฟักทอง ลำต้นผักบุ้ง
ลำต้นบางชนิดมีข้อปล้องสั้นมาก เช่น ลำต้นของหัวหอม






นอกจากจะพบใบที่ลำต้นแล้วยังพบตากิ่ง หรือตาดอกเสมอ ตาที่อยู่ปลายกิ่งหรือลำต้นเรียก
terminal bud ซึ่งเจริญอย่างไม่มีขอบเขต ทำให้พืชมีการเจริญยืดยาวขึ้น
บริเวณด้านข้างของลำต้นมีตากิ่ง หรือตาดอกเกิดบริเวณซอกใบ เรียกว่า lateral bud หรือ
axillary bud เนื่องจากเกิดบริเวณซอกใบ
(leaf axil) นั่นเอง ถ้าบริเวณ lateral bud มีตาเกิดขึ้นมาใกล้ๆ จะเรียกตานี้ว่า
accessory bud ตาที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะเป็นใบตาใบหรือตาดอก ถ้าเจริญเป็นดอก
เรียกตานั้นว่า floral bud พืชบางชนิดอาจมีตาพิเศษที่นอกเหนือจากนี้ เช่น
ตาของต้นคว่ำตายหงายเป็นซึ่งเกิดตาและเจริญเป็นต้นใหม่ได้ หรือตาในหัวมันเทศ
เกิดตาและสามารถนำไปปลูกได้เป็นใหม่ได้ ตาแบบนี้เรียกว่า adventitious bud 
ลำต้นปกติจะเจริญเหนือพื้นดิน เรียกลำต้นแบบนี้ว่า aerial stem แต่มีลำต้นบางชนิด
เจริญอยู่ใต้ดิน เรียกว่า ทำหน้าที่สะสมอาหาร ลักษณะคล้ายรากมากจนอาจเข้าใจผิดว่า
เป็นรากได้ หลักการแยกรากกับลำต้นสังเกตจากลำต้นมีข้อ ปล้อง โดยดูจากตาหรือใบก็ได
้ ลำต้นใต้ดินมีหลายชนิดดังนี้

ลำต้นใต้ดิน (Underground stem)
1. เหง้า (rhizome or root stock) 
เป็นลำต้นใต้ดินที่มักเจริญในแนวขนานกับผิวดิน อาจมีลักษณะกลมแตกติดต่อกันหรือกลมยาว
มีข้อและปล้องสั้นๆ มีใบเกล็ด หุ้มตาไว้ ตาอาจแตกแขนงเป็นลำต้นใต้ดิน หรือลำต้นและ
ใบแทงขึ้นเหนือดินมีส่วนรากแทงลงดิน ได้แก่ ขมิ้น ขิง ข่า พุทธรักษา
2. Tuber 
เป็นลำต้นใต้ดินสั้นๆ ประกอบด้วยข้อและปล้อง 3-4 ปล้องไม่มีใบลำต้นมีอาหารสะสมทำ
ให้อวบกลม มีตาอยู่โดยรอบเกล็ด บริเวณปล้องมีตา ซึ่งตามักจะบุ๋มลงไป ตาเหล่านี้สามารถ
งอกเป็นต้นใหม่ได้ ได้แก่ มันฝรั่ง มันหัวเสือ
3. Bulb
เป็นลำต้นใต้ดินที่ตั้งตรงมีข้อปล้องสั้นมากตามปล้องมี ใบเกล็ด (Scale Leaf) ทำหน้าที่สะสมอาหารซ้อนห่อหุ้มลำต้นไว้หลายชั้น
จนเห็นเป็นหัวลักษณะกลม ใบชั้นนอกสุดจะลีบแบนไม่สะสมอาหาร ส่วนล่างของลำต้น
มีรากเป็นกระจุก เช่น หอม กระเทียม พลับพลึง ว่านสี่ทิศหัวกลม
4. Corm 
เป็นลำต้นใต้ดินที่มีลำต้นตั้งตรง ลักษณะกลมยาวหรือกลมแบน มีข้อปล้องเห็นชัด 
ตามข้อมีใบเกล็ดบางๆ หุ้ม ลำต้นสะสมอาหารทำให้อวบกลม มีตาตามข้อสามารถงอกเป็นใบ
โผล่ขึ้นเหนือดินหรืออาจแตกเป็นลำต้นใต้ดินต่อไปได้ ด้านล่างของลำต้นมีรากฝอยเส้นเล็ก
จำนวนมาก ได้แก่ เผือก แห้ว บัวสวรรค์ ซ่อนกลิ่น
Modified stems
1. ไหล (stolon or runner)
เป็นลำต้นเลื้อยไปตามผิวดินหรือผิวน้ำ มีข้อปล้องชัดเจน ตามข้อมีรากแทงลงไปในดิน
เพื่อช่วยยึดลำต้น นอกจากนี้บริเวณข้อจะมีตาเจริญไปเป็นแขนงยาวขนานไปกับพื้นดินหรือ
ผิวน้ำ ซึ่งจะงอกรากและลำต้นขึ้นใหม่ ได้แก่ สตรอเบอรี่ บัวบก ผักบุ้ง แว่นแก้ว หญ้านวลน้อย
2. ลำต้นปีนป่าย (climbing stem or climber)
มักเป็นลำต้นที่อ่อนเกาะพันไปกับวัตถุที่ใช้ปีนป่ายไปในที่สูงๆ เช่น เถาวัลย์ พลูด่าง
3. มือเกาะ (stem tendril)
เป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ (tendril) ใช้ยึดกับวัตถุเพื่อไต่ขึ้นที่สูงๆ 
หรือช่วยให้ทรงตัวอยู่ได้ เช่น มือเกาะฟักทอง น้ำเต้า บวบ แตงกวา พวงชมพู 
การสังเกตว่าเป็นใบหรือลำต้นที่เปลี่ยนแปลงเป็นมือเกาะมีหลักดังนี้ ถ้าข้อนั้นมีใบครบ
แล้วมีมือเกาะออกมาตรงซอกใบแสดงว่ามือเกาะนั้นเปลี่ยนแปลงมาจากลำต้น

4. หนาม (stem spine or thorn)
เป็นลำต้นเปลี่ยนแปลงเป็นเพื่อทำหน้าที่ป้องกันอันตรายต่างๆ ให้กับลำต้น เช่นหนามไผ่
หนามเฟื่องฟ้า นอกจากลำต้นแล้วใบก็สามารถเปลี่ยนเป็นหนามได้ เรียกว่า leaf spine


เช่น กระบองเพชร ถ้าเปลี่ยนมาจากผิวของเปลือกเรียกว่า prickle เช่น หนามกุหลาบ


  
5. Cladophyll 
เป็นลำต้นที่มีลักษณะและทำหน้าที่คล้ายใบ มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์สามารถสังเคราะห์ด้วยแสง
ได้ เช่น ต้นพญาไร้ใบ กระบองเพชร ลำต้นอวบน้ำสีเขียวใบลดรูป ซึ่งช่วยลดการคายน้ำ 
ซึ่งถือว่าเป็นการปรับตัวของพืชเพื่อให้อาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งได้ สนทะเล สนประดิพัทธ
 ส่วนของกิ่งหรือลำต้นมีสีเขียวคล้ายใบมาก แต่ใบที่แท้จริงเป็นใบเกล็ดขนาดเล็ก 
เรียกว่า scale leaf
โครงสร้างภายในของลำต้น 
ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
มีเฉพาะการเจริญขั้นแรก (primary growth) ไม่มีการเจริญขั้นที่สอง (secondary growth) 
ส่วนพืชใบเลี้ยงคู่มีการเจริญขั้นที่สอง
เนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายยอด (apical meristem) จะแบ่งเซลล์แบบไมโตซิส ซึ่งเซลล์เหล่าน
เจริญเป็น primary meristem ประกอบด้วย protoderm procambium และ
ground meristem เซลล์จะยืดขยายและเจริญต่อเป็นเนื้อเยื่อถาวรปฐมภูมิ
ประกอบด้วยบริเวณต่างๆ ดังนี้

1. Epidermis
เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด เจริญมาจาก protoderm ผนังเซลล์ด้านนอกหนา
เนื่องจากมีคิวตินมาเคลือบ และช่วยลดการสูญเสียน้ำทางลำต้นได้ บางเซลลเปลี่ยนแปลงเป็นขน trichome หรือ guard cell อิพิเดอร์มิสบางเซลล์อาจมีสีต่างๆ 
เนื่องจากมีรงควัตถุอยู่ภายใน vacuole หรือ ใน cell sap 

2. Cortex 
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ถัดจาก epidermis ประกอบด้วยเซลล์หลายชั้นหลายชนิด เช่น
parenchyma collenchyma sclerenchyma ชั้น cortex ในลำต้นมักมีบริเวณแคบกว่า
ในรากและพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีอาราเขตไม่แน่นอน เพราะจะพบ vascular bundle อยู่ใกล้กับอิพิเดอร์มิสมาก ชั้นคอร์เทกอาจมีเพียง 1-2 ชั้นเท่านั้น 
หน้าที่ของชั้นคอร์เทกขึ้นกับเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบ เช่น chlorenchyma ทำหน้าที่
สังเคราะห์ด้วยแสง reserved parenchyma ทำหน้าที่สะสมอาหาร sclerenchyma 
และ collenchyma ช่วยค้ำจุนให้ความแข็งแรง 

3. Vascular bundle 
ลักษณะ Vascular bundle ในลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่
Primary growth: การเจริญแบบ primary growth ท่อลำเลียงน้ำและอาหารประกอบด้วย
primary xylem และ primary phloem ซึ่งเจริญมาจาก procambium และมีเนื้อเยื่อ
fascicular cambium ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเจริญอยู่ตรงกลาง ไซเลมจะอยู่ด้านในส่วนโฟลเอม
จะอยู่ด้านนอกติดกับคอร์เทก primary xylem ประกอบด้วย protoxylem และ metaxylem 
โดย protoxylem อยู่ด้านในใกล้กับพิธแต่ metaxylem จะอยู่ถัดมาด้านนอกใกล้กับ
fascicular cambium ซึ่งการเรียงตัวของ primary xylem จะแตกต่างจากราก
(ในราก protoxylem จะอยู่ด้านนอกบริเวณปลายแฉก ส่วน metaxylem 
ที่จะอยู่บริเวณด้านในใกล้ศูนย์กลาง)
Secondary growth: การเจริญขั้นที่สองเกิดจาก vascular cambium แบ่งตัวให
 secondary xylem และ secondary phloem การเกิด vascular cambium เกิดจาก
fascicular cambium และ interfascicular cambium (พาเรนไคมาที่อยู่ในชั้นคอร-
์เทกบางเซลล์เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเนื้อเยื่อเจริญเรียกว่า interfascicular cambium) 
ดังรูป เจริญเชื่อมกันเป็นชั้นเดียว เรียก vascular cambium จะทำให้เกิดชั้นของเนื้อเยื่อ
ลำเลียงที่เรียงเป็นวงรอบลำต้นนี้ว่า vascular cylinder และก่อให้เกิดการเจริญขั้นที่สองเกิด
ขึ้น ซึ่งพบในพืชใบเลี้ยงคู่และจิมโนสเปิร์ม โดยเนื้อเยื่อที่เป็นเนื้อไม้ก็คือส่วนของไซเลม
ที่ประกอบด้วย tracheid vessel fiber ซึ่งล้วนแต่เป็นเซลล์ที่มีผนังเซลล์หนา
ซึ่งทำให้ลำต้นแข็งแรงสามารถค้ำจุนส่วนต่างๆ ของพืชได้ การเจริญขั้นที่สอง
ในพืชใบเลี้ยงคู่นอกจากจะเกิดจากการแบ่งตัวของ vascular cambium 
ที่อยู่รอบลำต้นจะแบ่งตัวให้ secondary xylem และ secondary phloem 
แล้วบริเวณชั้นคอร์เทกบางเซลล์จะเปลี่ยนกลับเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่เรียกว่า
cork cambium แบ่งเซลล์ให้ cork cells และ phelloderm ซึ่งส่งผลให้ลำต้น
เจริญออกด้านข้างหรืออ้วนขึ้นนั่นเอง 

Periderm เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของพืชที่มีอายุมาก เกิดแทนที่ epidermis 
ทำหน้าที่ป้อง
กันอันตรายให้กับพืช พบในพืชใบเลี้ยงคู่ พืชจิมโนสเปิร์ม เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ
เปลือกไม้ (bark) (เปลือกไม้จะหมายถึงเนื้อเยื่อทุกชนิดตั้งแต่ชั้นวาสคิวลาบันเดิล
จนถึงชั้นนอกสุด) Periderm เกิดจากพาเรนไคมาที่อยู่ในชั้นคอร์เทก โฟลเอม 
หรือเซลล์อื่น เปลี่ยนกลับมาเป็นเนื้อเยื่อเจริญ

Periderm ประกอบด้วยเซลล์ 3 ชนิด 
1. Cork หรือ phellem เป็นเซลล์ที่อยู่ด้านนอก เซลล์มีลักษณะสี่เหลี่ยม มีชีวิตสั้น
ผนังเซลล์มีสารซูเบอรินและไขผึ้งเป็นส่วนประกอบมาก อาจมีลิกนินเล็กน้อยทำ
ให้มีคุณสมบัติคล้ายกับฉนวน กันความร้อน ป้องกันน้ำและแกสผ่าน ดังนั้นจึงนิยม
นำคอร์กมาใช้ประโยชน์ทางการค้า เช่น ปิดจุกขวดไวน์ หรือใช้เป็นแผ่นกันความร้อนได้ 
ต้นไม้บางชนิด เช่น ต้นโอ๊กมีชั้นคอร์กหนามากสามารถลอกเป็นแผ่นๆ ได้
ซึ่งความหนาของชั้นคอร์กขึ้นกับชนิดพืช 
2. Cork cambium หรือ phellogen เป็น secondary meristem ลักษณะเซลล์สี่เหลี่ยม
คล้ายกับ vascular cambium แบ่งตัวให้ cork cells และ phelloderm 
3. Phelloderm ลักษณะคล้ายพาเรนไคมาทั่วไป มีผนังเซลล์บาง เป็นแบบ primary wall มัก
เกาะตัวกันหลวมๆ อยู่ด้านในที่ติดกับคอร์เทก

Lenticel เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแกสบริเวณลำต้น ลักษณะคล้ายรอยแผล 
เกิดจากพาเรนไคมาในชั้นคอร์เทกซึ่งมักเป็นพาเรนไคมาที่อยู่ใต้อิพิเดอร์มิสแบ่งตัว
ให้เซลล์จำนวนมาก ทั้งด้านบนและด้านล่าง เซลล์ที่อยู่ด้านล่างสามารถตัวได้อีก
เรียกเซลล์นี้ว่า lenticel phllogen แบ่งตัวให้เซลล์ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับพาเรนไคมา 
มีช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ซึ่งจะเรียกเซลล์ที่เกิดใหม่ที่อยู่ด้านบนนี้ว่า 
complementary cell เมื่อบริเวณนี้ได้รับน้ำฝน ผิวหน้าจะแตกออกลักษณะคล้ายเลนส์
ทำให้ได้ชื่อว่า lenticel

ลักษณะ Vascular bundle ในลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ลำต้นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวประกอบด้วยอิพิเดอร์มิสเหมือนพืชใบเลี้ยงคู่ เนื้อเยื่อลำเลียง
จะไม่เกิดต่อกันเป็นวงรอบลำต้น แต่จะอยู่เป็นกลุ่มหรือเป็นมัดกระจายทั่วลำต้น
ไม่เป็นระเบียบ และพบใกล้กับ epidermis มาก ทำให้ส่วนของคอร์เทกและพิธไม่มีขอบเขต
ที่ชัดเจน มักพบ Sclerenchyma 2-3 ชั้น อยู่ถัดจากอิพิเดอร์มิสสร้างความแข็งแรง 
อาจพบพาเรนไคมาที่มีผนังเซลล์หนาเมื่อลำต้นมีอายุมากขึ้นเพื่อให้ลำต้นแข็งแรง 
แต่ละ vascular bundle ประกอบด้วยไซเลมและโพลเอม รูปร่างคล้ายกับหัวกะโหลก 
โดยมีเวสเซลขนาดใหญ่สองเซลล์และมีเวสเซลขนาดเล็กอยู่ข้างๆ ส่วนของโฟลเอมจะอยู่

ใกล้กับอิพิเดอร์มิสมากกว่าไซเลม และลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวไม่มี vascular cambium
จึงไม่เกิดการเจริญขั้นที่สอง บริเวณกลางลำต้นจะกลวงเนื่องจากเซลล์ในชั้นนี้สลายไป
เกิดเป็นช่องกลวงกลางลำต้น เรียกว่า pith cavity ซึ่งพบในบริเวณที่เป็นปล้องของพืช
ใบเลี้ยงเดี่ยว

3. Pith ประกอบด้วย parenchyma cell อยู่บริเวณกลางลำต้น ในพืชใบเลี้ยงคู่จะ
ประกอบด้วยพาเรนไคมาเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ ผนังเซลล์บาง ทำหน้าที่สะสมอาหาร 

วงปี (annual ring)
ในรอบ 1 ปี vascular cambium จะแบ่งตัวให้ secondary xylem แตกต่างกัน
ในแต่ละฤดู ในฤดูฝนที่มีน้ำมาก vascular cambium จะแบ่งตัวให้เซลล์ที่มีขนาดใหญ่
จำนวนมาก ผนังเซลล์บางไม่มีลิกนินมาสะสม จะมองเห็นเป็นสีจาง เรียกเนื้อไม้แบบนี้ว่า
spring wood ในฤดูแล้งปริมาณน้ำฝนมีน้อย vascular cambium จะแบ่งตัวให้เซลล์ที่
มีขนาดเล็ก จำนวนน้อย ผนังเซลล์หนาเพราะมีลิกนินมาสะสมมาก จะมองเห็นเป็นสีเข้ม
เรียกเนื้อไม้แบบนี้ว่า summer wood เมื่อครบ 1 ปีจะเห็นเนื้อไม้มีสีเข้มกับสีจาง
ซึ่งสามารถใช้นับอายุของต้นไม้ได้ 



 กระพี้ (sap wood) และแก่นไม้ (heart wood)
เมื่อตัดตามขวางต้นไม้ที่มีอายุมากจะเห็นเนื้อไม้มีสีเข้มอยู่บริเวณตรงกลางของลำต้น 
ประกอบด้วย xylem ที่อายุมาก และไม่ทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำแล้ว มีสารประกอบต่างๆ
เช่น tannin มาสะสม มีความแข็งมาก เรียกเนื้อไม้ที่มีสีเข้มนี้ว่า แก่นไม้ ส่วนกระพี้จะ
เป็นเนื้อไม้ที่มีสีจางอยู่บริเวณด้านนอกและยังคงทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำ

ราก(Root)
รากคือส่วนของพืชที่มักมีการเจริญเติบโตตามแรงโน้มถ่วงของโลก 
ข้อ ปล้อง มีหน้าที่ที่สำคัญดังนี้
1.ค้ำจุนส่วนต่างๆ ของพืชให้ทรงตัวอยู่ได้ (anchorage)
2. ดูดและลำเลียงน้ำ (absorption and transportation)
3.หน้าที่อื่นๆ ขึ้นกับลักษณะของรากเช่น สะสมอาหาร ยึดเกาะ ใช้ในการหายใจเป็นต้น

ระบบราก (Root system)
1. ระบบรากแก้ว (Tap root system) 
ระบบรากแก้วประกอบด้วยรากแก้วซึ่งเป็นรากที่มีขนาดใหญ่กว่ารากอื่นๆ (เจริญมาจาก 
radicle หรือ embryonic root) และมีรากแขนงเจริญออกจากรากแก้วจำนวนมากและ
มีขนาดรากแตกต่างกัน พืชใบเลี้ยงคู่และพืชกลุ่ม gymnosperm ส่วนใหญ่มีระบบรากแก้ว 
รากแก้วที่มีขนาดใหญ่จะช่วยในการยึดเกาะและพยุงให้ลำต้นตั้งตรงและทรงตัวได้ดี

2. ระบบรากฝอย (Fibrous root system) 
ระบบรากฝอยพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ พืชใบเลี้ยงเดี่ยวเมื่องอกออกจากเมล็ด
มีรากแก้วแต่รากแก้วจะสลายไป ประกอบด้วยรากที่มีขนาดใกล้เคียงกันจำนวนมาก ซึ่งราก
ดังกล่าวเจริญและพัฒนามาจากเซลล์ที่อยู่ปลายสุดของลำต้น ดังนั้นจึงอาจถูกเรียกว่า 
adventitious root ได้ รากฝอยบริเวณโคนรากมีขนาดใกล้เคียงกับปลายรากและมักจะ
มีการเจริญขนานไปกับพื้นดิน ซึ่งแตกต่างจากระบบรากแก้วที่มักเจริญลงด้านล่างลึกลงไป
ในดินเพื่อดูดน้ำและแร่ธาตุ ตัวอย่างระบบรากฝอย เช่น รากหญ้า



 ชนิดของราก (Kind of root)
จำแนกตามแหล่งกำเนิดของรากสามารถแบ่งรากออกเป็นชนิดต่างๆ ดังนี้ 
1. รากแก้ว (primary root ) เจริญเติบโตมาจากแรดิเคิล รากแก้วมีลักษณะของโคนราก
มีขนาดใหญ่อ้วนและเรียวเล็กลงทางปลายราก ดังนั้นปลายรากและโคนรากมีขนาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน 

2. รากแขนง (secondary roots) เป็นรากที่เจริญจาก primary root โดยเนื้อเยื่อชั้น
pericycle แบ่งตัวเกิดเป็นรากที่มีโครงสร้างภายในรากเหมือนกับรากแก้วทุกประการ
ลักษณะการเกิดของรากเกิดจากเซลล์ที่อยู่ภายในลักษณะนี้เรียกว่า endogenous-
branching 
3.รากวิสามัญ (adventitious roots) รากชนิดอื่นๆ ที่ไม่ได้มีจุดกำเนิดมาจากแรดิเคิลและ
รากแก้ว จะเรียกว่ารากวิสามัญ เช่น รากผักบุ้ง รากไทร ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณลำต้นอาจเกิดจาก
เซลล์ในชั้นคอร์เทก แบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนจนกลายเป็นราก รากวิสามัญนี้แยกประเภทตาม
หน้าที่ได้ดังนี้

Modified roots 
รากปีนป่าย (climbing roots)
เช่น รากพลูด่าง รากพริกไทย รากกล้วยไม้ รากชนิดนี้มักเกิดบริเวณข้อ ช่วยในการยึดเกาะ
ทำให้พืชสามารถยึดกับวัตถุ ใช้ในการปีนป่ายในที่สูงได้

รากค้ำจุน หรือ รากค้ำยัน (prop roots) เช่น รากข้าวโพด รากโกงกาง ลำเจียก
มักแตกจากบริเวณข้อของลำต้น เห็นได้ชัดเจนในข้าวโพดช่วยในการทรงตัวของลำต้น 
ต้นโกงกางอาศัยรากค้ำยันเนื่องจากโกงกางขึ้นอยู่บริเวณดินเลนและมีน้ำขึ้นน้ำลง 
รากค้ำยันช่วยในการทรงตัวในดินเลนได้เป็นอย่างดี

รากกาฝาก (parasitic root) 
เป็นรากพืชที่เกาะกับพืชชนิดอื่นและใช้ haustorium ดูดอาหารจากต้นที่อาศัย (host)
เช่น รากฝอยทอง รากกาฝาก 

รากหายใจ (respiratory root or aerating root) 
รากที่ปรับตัวซึ่งจะมีบางส่วนของรากโผล่มาเหนือดิน เช่น รากลำพู รากแสม รากโกงกาง 
รากบางชนิดช่วยในการลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ เรียกว่ารากทุ่นลอย (pneumatophore) 
ประกอบด้วยพาเรนไคมาที่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ขนาดใหญ่ เช่น รากทุ่น ลอย (นม) ของผัก

รากพูพอน (butress rooot) 
เป็นรากที่มีลักษณะคล้ายลำต้นแผ่ขยายออก เพื่อช่วยให้ลำต้นทรงตัวด้วยดียิ่งขึ้น

รากสะสมอาหาร (storage roots) 
เป็นรากที่สะสมอาหารไว้ภายใน ประกอบด้วย storage parenchyma ได้แก่ เช่น รากสะสมอาหารที่เปลี่ยนแปลงมาจากรากแก้ว เช่น แครอท มันแกว หัวผักกาด

รากสะสมอาหารที่เปลี่ยนแปลงมาจากรากฝอย เช่น มันสำปะหลัง มันเทศ

รากสังเคราะห์แสง (photosynthetic roots) เช่น รากไทร รากกล้วยไม้ 
มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์ ซึ่งสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ มักพบบริเวณรากที่อายุน้อย


Zone of root
1. Root cap หรือหมวกราก พบบริเวณปลายราก ประกอบด้วยเซลลล์หลายชั้น 
ลักษณะคล้ายปลอกห่อหุ้มส่วนเนื้อเยื่อเจริญ (apical meristem) หมวกรากเป็นส่วนแรก
ที่แทรกไปในดินเซลล์บางส่วนจะถูกทำลายดังนั้นจึงมีการสร้างทดแทนตลอด 
และนอกจากนี้หมวกรากยังสร้างสารโพลีแซคคาไรด์ที่มีลักษณะคล้ายเมือกเพื่อช่วย
ลดการเสียดสีระหว่างรากและดินในระหว่างการแทงลงไปในดินของราก 
2. Zone of cell division อยู่ปลายสุดถูกห่อหุ้มด้วยหมวกราก (root cap)
ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร จัดเป็นเนื้อเยื่อเจริญประกอบด้วยเซลล์รูปรางคล้ายกันและ
กำลังแบ่งตัวแบบ mitosis ตลอดเวลา ทำให้รากพืชยาวขึ้น นิยมใช้ศึกษาการแบ่งเซลลแบบไมโตซิส
3. Zone of cell elongation อยู่ถัดจาก zone of cell division เป็นเนื้อเยื่อเจริญขั้นแรก
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเจริญ 3 ส่วนคือ protoderm procambium และ ground meristem
เซลล์ดังกล่าว จะยืดยาวขึ้นทำให้เกิดการเจริญขั้นแรก (primary growth) ยาวประมาณ 
4-5 มิลลิเมตร 
4. Zone of cell differentiation or Zone of root hair ประกอบด้วยเซลล์ท
เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เช่น เนื้อเยื่อลำเลียง คอร์เทก อิพิเดอร์มิส
และพบขนรากจำนวนมาก 

Anatomy of root

โครงสร้างภายในรากประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
1. Epidermis เป็นเซลล์ชั้นเดียว เปลี่ยนแปลงมาจาก protoderm ไม่พบชั้น cuticle บาง
เซลล์เปลี่ยนเป็นขนราก ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ในการสัมผัสกับความชื้นในดินทำให้
เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดน้ำและแร่ธาตุได้มากยิ่งขึ้น2. Cortex ชั้นคอร์เทกในรากประกอบด้วย parenchyma cell หลายชั้น บางเซลล

์ทำหน้าที่ในการสะสมอาหาร ชั้นที่ถัดจากอิพิเดอร์มิส เรียกว่า hypodermis 
จนถึงคอร์เทกชั้นในสุดเรียกว่า endodermis ซึ่ง endodermis มีสารซูเบอรลินมาเคลือบ
ลักษณะคล้ายเข็มขัด เรียกว่า casparian strip การลำเลียงน้ำการลำเลียงส่วนใหญ่จะ
ใช้เส้นทาง apoplast เมื่อถึงชั้น endodermis ซึ่งมี casparian strip ขวางอยู่ 
การลำเลียงน้ำจะใช้เส้นทาง symplast (ลำเลียงผ่านเซลล์เมมเบรนของเซลล์หนึ่ง
ไปยังอีกเซลล์หนึ่ง) หรือผ่านเอนโดเดอร์มิสที่ไม่มี casparian strip ซึ่งเรียกเซลล์นี้ว่า
passage cell ซึ่ง passage cell นี้จะพบน้อย และมักจะเป็น endodermis 
ที่มีตำแหน่งตรงกับ xylem ที่อยู่ปลายแฉก

3. stele ประกอบด้วยเซลล์หลายชั้น ตั้งแต่ pericycle, vascular bundle และ pith 
Pericycle จัดว่าเป็นเนื้อเยื่อเจริญ ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว มีความสำคัญมาก
เพราะสามารถแบ่งตัว สร้างรากแขนง (Lateral roots)

ใบ(Leaf)

คืออวัยวะหรือรยางค์ของพืชที่เจริญออกจากด้านข้างของลำต้น ใบทั่วไปมักแผ่แบน 
มีสีเขียวซึ่งทำหน้าที่หลักในการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) และคายน้ำ 
(transpiration) ใบพืชมีความแตกต่างกันทั้งใน ด้านรูปร่าง ขอบใบ เส้นใบ ลักษณะ
การติดกับลำต้น


ส่วนประกอบของใบ Complete Leaf ดังภาพ


1. แผ่นใบหรือตัวใบ (leaf blade or lamina) 
มักแผ่แบน มีสีเขียว ส่วนใหญ่มีรูปร่างรี บางชนิดอาจมีรูปร่างกลม รูปหัวใจ รูปพัด
ในใบหญ้าแผ่นใบมักจะเรียวยาว แผ่นใบเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะเป็นส่วนที่สร้างอาหาร 
บางชนิดมีขนาดเล็กเป็นใบเกล็ด (scale leaf) หรือม้วนเป็นท่อ เช่นในใบหอม 

2. ก้านใบ (petiole) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างตัวใบกับลำต้น มีลักษณะเป็นก้านสั้นๆ 
ในใบหญ้าก้านใบมักจะแบนบางโอบส่วนลำต้นไว้ ซึ่งนิยมเรียกว่ากาบ หรือ sheath 
พืชบางชนิดอาจไม่มีก้านใบ เรียกใบแบบนี้ว่า sessile leaf ถ้ามีก้านใบเรียกว่า petiolate
3. หูใบ (stipule) เป็นส่วนของระยางค์ที่ยื่นออกมาตรงโคนใบที่ติดกับลำต้น หูใบมักมีอายุ
ไม่นานและจะลดร่วงไป หูใบมักมีสีเขียวแต่อาจมีสีเช่น หูใบของต้นยางอินเดียหูใบมีสีสัน
สวยงามหุ้มยอดอ่อนเอาไว้ พืชบางชนิดอาจไม่มีหูใบ เรียกใบแบบนี้ว่า exstipulate leaf 
ถ้ามีหูใบเรียกว่า stipulate leaf เช่น เข็ม พุดน้ำบุด มีหูใบอยู่ระหว่างใบทั้งสองข้าง
กุหลาบมีหูใบเชื่อมติดต่อกับก้านใบ ชบามีหูใบอยู่บริเวณซอกใบ
ชนิดของใบ 
1. ใบเดี่ยว (simple leaf) 
ใบที่มีตัวใบแผ่นเดียว เช่น ใบน้อยหน่า มะม่วง ชมพู่ พืชบางชนิดตัวใบเว้า โค้งไปมา 
จึงทำให้ดูคล้ายมีตัวใบหลายแผ่นแต่บางส่วนของตัวใบยังเชื่อมกันอยู่ถือว่าเป็นใบเดี่ยว
เช่น ใบมะละกอ ใบฟักทอง ตัวใบมักติดกับก้านใบ ถ้าใบที่ไม่มีก้านใบเรียก
sessile leaves เช่น บานชื่น
2. ใบประกอบ (compound leaf) 
ใบที่มีตัวใบหลายแผ่นติดอยู่กับก้านใบเดียว เช่น ขี้เหล็ก ใบจามจุรี ใบย่อย เรียกว่า
leaflets ใบประกอบจะมีตาที่ซอกใบที่ติดกับลำต้นเท่านั้น (แต่ส่วนที่เป็นก้านใบย่อยจะ
ไม่พบตา) ใบประกอบยังสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้ 2 ประเภทดังนี้
Pinnately compound leaf (ใบประกอบแบบขนนก) 
Palmately compound leaf (ใบประกอบแบบฝ่ามือ) 
Pinnately compound leaf
ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แต่ละใบย่อยมีก้านใบย่อย (petiolule) 
ออกจากแกนกลาง (rachis) เป็นคู่ๆ คล้ายขนนก 

ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (Pinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียงครั้งเดียว ใบย่อยแต่ละ
ใบจะมีก้านใบย่อย เรียกว่า petiolue ได้แก่ ใบกุหลาบ ใบมะขาม ใบขี้เหล็ก 
ใบสะเดา ใบทองอุไร ใบกาลพฤกษ์

ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น 
(bipinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียง 2 ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือ
แกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla เช่น ใบหางนกยูงฝรั่ง จามจุรี กระถิน 

ใบประกอบแบบขนนกสามชั้น 
(tripinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียง 3ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือ
แกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla แต่แกนกลางที่ 3 อาจเรียกรวมว่า rachilla
ตัวอย่าง เช่น ใบมะรุม บีบ 

Palmately compound leaf
ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แตกออกจากส่วนก้านใบลักษณะคล้ายนิ้วมือ
ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ bifoliage ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 2 ใบ trifoliage
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ
Modified leave

Leaf tendril
ใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ ใช้ในการยึดเพื่อไต่ขึ้นที่สูงๆ ได้ เช่น ใบถั่วเลาเตา 
ใบดองดึง 

Pinnately compound leaf
ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แต่ละใบย่อยมีก้านใบย่อย (petiolule) 
ออกจากแกนกลาง (rachis) เป็นคู่ๆ คล้ายขนนก 



ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว 
(Pinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียงครั้งเดียว ใบย่อยแต่ละใบจะมีก้านใบย่อย เรียกว่า petiolue ได้แก่ ใบกุหลาบ ใบมะขาม ใบขี้เหล็ก 
ใบสะเดา ใบทองอุไร ใบกาลพฤกษ์

ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น 
(bipinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียง 2 ครั้ง และมีช่วงของก้านใบ
หรือแกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla เช่น ใบหางนกยูงฝรั่ง จามจุรี กระถิน 

ใบประกอบแบบขนนกสามชั้น 
(tripinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียง 3ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือ
แกนกลาง 2 แห่ง คือ rachis และ rachilla แต่แกนกลางที่ 3 อาจเรียกรวมว่า rachilla 
ตัวอย่าง เช่น ใบมะรุม บีบ 

Palmately compound leaf
ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แตกออกจากส่วนก้านใบลักษณะคล้ายนิ้วมือ
ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ bifoliage ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 2 ใบ trifoliage 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ
Modified leave

Leaf tendril
ใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ ใช้ในการยึดเพื่อไต่ขึ้นที่สูงๆ ได้ เช่น ใบถั่วเลาเตา ใบดองดึง

Leaf spine
ใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นหนาม อาจเปลี่ยนแปลงมาจากใบทั้งใบ หรือเพียงบางส่วนของใบ
เป็นทั้งใช้ป้องกันอันตรายต่างๆ เช่น กระบองเพชร เหงือกปลาหมอ ใบสับปะรด 
ใบป่านศรนารายณ์
Scale leaf
ใบเกล็ด ใบที่มีขนาดเล็กมาก ไม่ทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง แต่ใช้ส่วนลำต้นสังเคราะห
์ด้วยแสง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง หญ้าถอดปล้อง หรือทำหน้าที่ห่อหุ้มตาไว้ เช่น ใบเกล็ดของขิง ข่า
Pinnately compound leaf
ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แต่ละใบย่อยมีก้านใบย่อย (petiolule)
ออกจากแกนกลาง (rachis) เป็นคู่ๆ คล้ายขนนก ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว 
(Pinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียงครั้งเดียว ใบย่อยแต่ละใบจะมีก้านใบย่อย
เรียกว่า petiolue ได้แก่ ใบกุหลาบ ใบมะขาม ใบขี้เหล็ก ใบสะเดา ใบทองอุไร ใบกาลพฤกษ์

ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น 
(bipinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียง 2 ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง 
2 แห่ง คือ rachis และ rachilla เช่น ใบหางนกยูงฝรั่ง จามจุรี กระถิน 

ใบประกอบแบบขนนกสามชั้น 
(tripinnately compound leaf) 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อยแตกออกจากก้านใบเพียง 3ครั้ง และมีช่วงของก้านใบหรือแกนกลาง
2 แห่ง คือ rachis และ rachilla แต่แกนกลางที่ 3 อาจเรียกรวมว่า rachilla ตัวอย่าง เช่น 
ใบมะรุม บีบ 

Palmately compound leaf
ใบที่ประกอบด้วยหลายใบย่อย (leaflets) แตกออกจากส่วนก้านใบลักษณะคล้ายนิ้วมือ 
ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ bifoliage ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 2 ใบ trifoliage 
ใบที่ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ
Modified leave

Leaf tendril
ใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นมือเกาะ ใช้ในการยึดเพื่อไต่ขึ้นที่สูงๆ ได้ เช่น ใบถั่วเลาเตา ใบดองดึง

Leaf spine
ใบเปลี่ยนแปลงไปเป็นหนาม อาจเปลี่ยนแปลงมาจากใบทั้งใบ หรือเพียงบางส่วนของใบ 
เป็นทั้งใช้ป้องกันอันตรายต่างๆ เช่น กระบองเพชร เหงือกปลาหมอ ใบสับปะรด
ใบป่านศรนารายณ์

Scale leaf

ใบเกล็ด ใบที่มีขนาดเล็กมาก ไม่ทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง แต่ใช้ส่วนลำต้นสังเคราะห์
ด้วยแสง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง หญ้าถอดปล้อง หรือทำหน้าที่ห่อหุ้มตาไว้ เช่น ใบเกล็ดของขิง ข่า 

Bract หรือใบประดับ
ใบที่มีสีสันสวยงาม ลักษณะคล้ายกลีบดอก ใบประดับของต้น คริสมาสต์ ส่วนที่มีสีสันสวยงาม
ในเฟื่องฟ้า

Carnivorous leaf
ใบที่เปลี่ยนแปลงเป็นที่ดักแมลง อาจมีลักษณะคล้ายหม้อ (pitcher) เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลิง 
ลักษณะเป็นกาบหยาดน้ำค้าง และกายหอยแครง มีน้ำเหนียวยึดตัวแมลง

Bubil
ใบที่ทำหน้าที่ในการขยายพันธุ์ มีต้นเล็กๆ เกิดขึ้นที่ขอบใบ นำไปปลูกเป็นต้นใหม่ได้ เช่น
ตีนตุ๊กแก คว่ำตายหงายเป็น ว่านเศรษฐี

โครงสร้างภายในของใบ (Anatomy of leaf)
1. Epidermis เป็นเซลล์ชั้นนอกสุด มีทั้งด้านบน (upper epidermis) และด้านล่าง 
(lower epidermis) ผนังเซลล์ด้านที่สัมผัสกับด้านนอกจะหนากว่าด้านใน ซึ่งช่วยป้องกัน
อันตรายจากภายนอก แผ่นใบที่แผ่แบนทำให้มีพื้นที่ที่สัมผัสกับแสงแดดได้มาก
พืชจะสูญเสียน้ำจากกระบวนการคายน้ำ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ดังกล่าวพืชจึง
สร้างสารคิวตินเคลือบ เรียกชั้นของคิวตินนี้ว่า cuticle ผิวใบด้านบนหรือด้านหลังใบ
มักจะมีชั้นคิวติน นอกจากนี้ยังขึ้นกับชนิดของพืชและสิ่งแวดล้อมที่พืชขึ้นอยู่เช่น 
พืชที่มีการปรับตัวและเจริญในพื้นที่แห้งแล้งได้จะมีชั้น cuticle หนามาก 
อิพิเดอร์มิสเปลี่ยนแปลงเป็น guard cells อิพิเดอร์มิสนอกจากจะเปลี่ยนเป็น
ปากใบแล้วบางเซลล์อาจเปลี่ยนเป็นขน (hair) พืชใบเลี้ยงเดี่ยว upper epidermis 
บางเซลล์เปลี่ยนเป็น bulliform cell 
2. Mesophyll เป็นเนื้อเยื่อพื้นของใบอยู่ระหว่างอิพิเดอร์มิสทั้งสองด้าน (mesophyll 
มาจากคำว่า meso แปลว่า กลาง และ phyll แปลว่า ใบ) แบ่งเป็น 2 ชั้นคือ
Palisade mesophyll เซลล์มีรูปร่างรียาว หรือรูปตัวยูตั้งฉากกับอิพิเดอร์มิส อยู่ติดกับ
upper epidermis เซลล์อัดตัวกันแน่น มีประมาณ 1-3 ชั้น ภายในเซลล์มีเม็ดคลอโรพลาสต์
จำนวนมาก palisade mesophyll จึงเป็นส่วนที่ทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้มาก 
พืชในต้นเดียวกัน ใบที่ได้รับแสงแดด (sun leave) มักจะมีพาลิเสดหลายชั้นกว่าใบร่ม
(shade leave) 
Spongy mesophyll เซลล์มีรูปร่างรี กลม อยู่ติดกับ lower epidermis เซลล์เกาะตัวกัน
อย่างหลวมๆ และไม่เป็นระเบียบ ภายในเซลล์มีเม็ดคลอโรพลาสต์ มักจะสังเคราะห์แสงได้
น้อยกว่าชั้นพาลิเสด เป็นส่วนที่แก๊ส (CO2) แพร่เข้าไปภายในใบพืช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น